กองทัพภาคที่ 2 เผยซากโดรนที่ตรวจยึดได้บริเวณช่องบกและช่องอานม้ามีโครงสร้างใกล้เคียงกับโดรน FPV จากสงครามยูเครน-รัสเซีย ทั้งขนาดเฟรมแบตเตอรี่ หัวต่อ และวิธีติดตั้งหัวรบแบบเดียวกัน ใช้ไฟเบอร์ออปติกหลบแจมเมอร์ คาดได้รับการถ่ายทอดเทคนิคมา เป็นอาวุธต้นทุนต่ำที่สร้างความเสียหายสูง เลือกจุดปล่อยบนพื้นที่สูงฝั่งกัมพูชา ส่งผลให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบ จำเป็นต้องปรับยุทธวิธีรับมือใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่ระบบตรวจจับ การยิงสกัด ไปจนถึงการจัดกำลังกำบังในพื้นที่เสี่ยง
เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากการสู้รบ ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาห้าวันที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าฝ่ายกัมพูชาได้ใช้โดรนเป็นยุทโธปกรณ์ในการเข้าโจมตีฝั่งไทยเป็นจำนวนหลายครั้ง กระทั่งมีการตรวจพบว่าผู้ที่บังคับโดรนดังกล่าวไม่ใช่คนกัมพูชา จึงได้เก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาวิเคราะห์จนชัดเจนว่าโดรนที่กัมพูชาใช้กับไทยคล้ายกับมีการใช้ในสงครามยูเครน-รัสเซีย
การพัฒนาสงครามสมัยใหม่ทำให้
โดรนกลายเป็นอาวุธที่เปลี่ยนรูปแบบการรบอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะ "โดรน FPV แบบพุ่งชน หรือที่เราเรียกกันว่าโดน Kamikaze" ที่ใช้ในสงครามยูเครน-รัสเซีย ซึ่งเป็นต้นแบบสำคัญที่หลายประเทศนำไปประยุกต์ใช้ รวมถึงกัมพูชาใช้ในเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทยในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับการวิเคราะห์รูปแบบโครงสร้าง อุปกรณ์ และภูมิยุทธศาสตร์จากซากโดรนที่ยึดได้ในพื้นที่ไทย ทำให้เห็นความเชื่อมโยงของแนวคิดทางยุทธวิธี และสาเหตุที่กัมพูชาสามารถใช้โดรนได้ แม้ไม่มีประวัติการฝึกมาก่อนอย่างชัดเจน
"โดรน FPV" ในสงครามยูเครน-รัสเซีย เป็นตัวอย่างของอาวุธต้นทุนต่ำ ที่สร้างผลทำลายสูง โครงสร้างหลักประกอบด้วย 1. เฟรมคาร์บอนไฟเบอร์ 2. มอเตอร์ 4 ตัว และ 3. กล้อง FPV ที่เชื่อมต่อแว่นควบคุมแบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้ควบคุมสามารถนำโดรนพุ่งเข้าหาเป้าหมายด้วยความแม่นยำสูงมาก ขณะเดียวกันยังมีการติดหัวรบขนาดเล็กหรือดัดแปลงจากกระสุนปืนใหญ่ ปืนกล หรือหัวรบ RPG ด้วยต้นทุนต่ำ แต่มีผลทางยุทธวิธีสูง
การผลิตจำนวนมากแบบโรงงานภาคสนาม ทำให้กองกำลังยูเครนและรัสเซียสามารถใช้โดรนเป็นหมู่โจมตีแนวหน้าได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นเหตุการณ์ที่ถูกนำไปศึกษาและเลียนแบบทั่วโลก
รานงานจากกองทัพภาคที่ 2 ยังเปิดเผยอีกว่า เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับซากโดรนที่ทหารไทยยึดได้ในพื้นที่ช่องบกและช่องอานม้า พบว่ามีลักษณะใกล้เคียงกับโดรน FPV ที่ใช้ในสงครามยูเครน-รัสเซีย อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเฟรมขนาด 5 นิ้ว, แบตเตอรี่ LiPo พร้อมหัวต่อ XT60, โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ และรูปแบบการติดหัวรบด้วยสายรัดและเคเบิลไทร์ รวมทั้งชิ้นส่วนภายในที่บ่งชี้ว่าเป็นโดรนพุ่งชน ไม่ใช่โดรนลาดตระเวน การตรวจจับสัญญาณยังพบการเข้ามาจากทิศทางกัมพูชาในห้วงเวลาเดียวกับการปะทะ ทำให้ยืนยันได้ว่าการโจมตีดังกล่าวมีแบบแผนและถูกควบคุมโดยผู้ที่มีความรู้ในระบบ FPV อย่างจริงจัง
รายงานจากกองทัพภาคที่ 2 เผยต่อว่า การนำโดรนทั้งระบบจากสมรภูมิยุโรปตะวันออกมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากข้อจำกัดด้านการขนส่งและการควบคุมยุทโธปกรณ์ระหว่างประเทศ สิ่งที่เป็นไปได้มากกว่าคือการนำความรู้ เทคนิค บุคลากร และต้นแบบการประกอบเข้ามาเผยแพร่ให้กัมพูชา ซึ่งเป็นรูปแบบที่พบทั่วไปในสงครามพร็อกซีในศตวรรษที่ 21 ความรู้ด้านการประกอบโดรน FPV และการฝึกนักบินสามารถถ่ายทอดได้รวดเร็ว และผู้เชี่ยวชาญสามารถเดินทางเข้าประเทศภายใต้สถานะพลเรือน เช่น นักกีฬาโดรน ช่างเทคนิค หรือที่ปรึกษาเอกชน พร้อมนำอุปกรณ์ควบคุมที่พกพาง่ายเข้ามาด้วยโดยไม่สะดุดสายตา หนึ่งในหลักฐานที่สนับสนุนข้อสันนิษฐานนี้คือการพบคำสั่งเสียงภาษาอังกฤษ เช่นคำว่า “finished” ซึ่งไม่ใช่ภาษาที่ทหารกัมพูชาใช้ตามปกติ แต่เป็นสำนวนที่พบในการสื่อสารของนักบิน FPV ในสงครามยูเครน-รัสเซีย
สำหรับความแม่นยำในการโจมตี จุดเลือกพื้นที่ และพฤติกรรมการบินล้วนสะท้อนว่าผู้ควบคุมโดรนมีประสบการณ์มาก่อน และไม่ใช่กำลังพลกัมพูชาที่เพิ่งฝึกใช้โดรนเป็นครั้งแรก ความสามารถเช่นนี้ต้องอาศัยการฝึกระดับสูง และเป็นไปได้ว่าเกิดจากการสนับสนุนของบุคคลภายนอกประเทศหรือที่ผ่านสมรภูมิจริงมาแล้ว
ส่วนจุดเด่นอีกข้อของโดรนที่กัมพูชาใช้คือ ระบบควบคุมผ่านสายไฟเบอร์ออปติก ซึ่งไม่สามารถถูกรบกวนสัญญาณด้วยระบบ jammer ของฝ่ายไทย การใช้สายควบคุมทำให้การสั่งการมีเสถียรภาพสูงในพื้นที่ภูเขา แต่ต้องใช้ทักษะสูงมากในการปฏิบัติการ แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมการและการฝึกที่เป็นระบบ ไม่ใช่ความสามารถระดับพื้นฐานของทหารกัมพูชาในอดีต
“การเลือกพื้นที่โจมตี เช่น ช่องบกและช่องอานม้า เป็นผลจากการประเมินภูมิยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน จุดสูงของกัมพูชา เช่น เนิน 745, 677 เปิดมุมมองกว้างเหนือพื้นที่ของไทย ทำให้ใช้เป็นฐานปล่อยโดรนได้อย่างปลอดภัยและมีความได้เปรียบ โดรนที่บินจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำควบคุมง่ายกว่า อีกทั้งลักษณะภูมิประเทศที่มีหุบเขา ร่องน้ำ และป่าทึบยังช่วยอำพรางสายไฟเบอร์ออปติก ทำให้ฝ่ายไทยตรวจจับได้ยาก การเลือกพื้นที่เช่นนี้จึงสะท้อนความเข้าใจลึกซึ้งของกัมพูชาเกี่ยวกับภูมิประเทศและลักษณะการรบด้วยโดรนสมัยใหม่”
ผลกระทบต่อการรบของฝ่ายไทยจึงมีหลายด้าน ทั้งความเสียเปรียบทางภูมิประเทศ อุปกรณ์ jammer ที่ไม่สามารถใช้ได้กับโดรนแบบใช้สาย และแรงกดดันทางจิตวิทยาที่เกิดจากการโจมตีที่มองไม่เห็นแหล่งต้นทาง ทำให้ต้องปรับยุทธวิธีการตั้งรับใหม่ทั้งหมด รวมถึงการพัฒนาระบบตรวจจับ การยิงสกัด และการจัดกำลังในพื้นที่ให้เหมาะสมขึ้น
จากการประเมินทั้งหมดนี้สามารถสรุปได้ว่ากัมพูชาไม่ได้มีความเหนือกว่าไทยในด้านเทคโนโลยีทางทหาร แต่ได้เปรียบจาก "การเลือกพื้นที่โจมตีที่เหมาะสม ร่วมกับการนำเทคนิคและน่าจะมีการบุคลากรจากสงครามยูเครน-รัสเซียมาใช้จริง" ทำให้โดรนของกัมพูชามีประสิทธิภาพสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ และเป็นบทเรียนสำคัญที่ไทยต้องนำไปพัฒนากำลังรบในมิติใหม่ของสงครามโดรนต่อไป