xs
xsm
sm
md
lg

สงครามโดรนพลีชีพสุดเดือด ศึกชายแดนไทย-กัมพูชา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:


กองบัญชาการกองทัพไทยจัดการทดสอบโดรนโจมตี 2 รูปแบบ โดรนทิ้งระเบิด และโดรนพุ่งชนแบบ Kamikaze ณ สนามยิงปืนใหญ่ ศูนย์การทหารปืนใหญ่ เขาพุโลน จังหวัดลพบุรี
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ยกสอง เห็นได้ชัดเจนว่าทั้งสองฝ่ายต่างมีการพัฒนา “กองทัพโดรน” เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบและทำลายล้างอีกฝ่าย ถือเป็นภัยคุกคามใหม่ในสนามรบ ไม่ว่าจะเป็น “โดรนทิ้งระเบิด” หรือที่พัฒนาไปไกลถึงขั้น “โดรนพลีชีพ FPV” หรือ “โดรนกามิกาเซ่” จากฝั่งกัมพูชา

การศึกสงครามโดรนรอบนี้ ฝั่งไทยสูญเสียกำลังพลคือ “สิบเอก ชวกร เดชขุนทด” สังกัดกองพันทหารม้าที่ 11 กรมทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ จากโดรนทิ้งระเบิดของกัมพูชา ระหว่างเคลื่อนย้ายออกจากบังเกอร์เพื่อขึ้นรถพยาบาลที่ฐานบ้านต้นพยุง อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ส่วนฝั่งกัมพูชาก็ย่อยยับราพณาสูรจากโดรนทิ้งระเบิดของไทยตลอดแนวรบเช่นเดียวกัน

การพยายามยึดพื้นที่คืนของฝั่งกัมพูชา นอกจากการระดมยิงปืนใหญ่ จรวด BM-21 แล้ว ยังมีการใช้โดรนทิ้งระเบิดหรือโดรนพลีชีพใส่ฐานที่มั่นของไทยหลายแห่ง เช่น ช่องบก ช่องอานม้า ปราสาทตาควาย ปราสาทคนา โดยเฉพาะพื้นที่ภูมะเขือ และปราสาทตาเมือนธม ซึ่งจากการสรุปผลปฏิบัติการของกองทัพภาคที่ 2 ระหว่างวันที่ 7-10 ธันวาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชามีการใช้อาวุธ BM-21 จำนวน 79 ครั้ง ลูกจรวด 3,160 นัด, ใช้ปืนใหญ่ จำนวน 122 นัด และใช้โดรนทิ้งระเบิดจำนวน 63 ครั้ง 125 ลำ โดยเฉพาะพื้นที่ปราสาทตาควาย ฝ่ายกัมพูชามีใช้โดรนพลีชีพ FPV จำนวนมาก

โดรนพลีชีพของเขมร ที่เข้ามาปฏิบัติการในพื้นที่บริเวณภูมะเขือ


ขณะที่ฝั่งกัมพูชา ส่งฝูงบินโดรนถล่มไทย ทางฝั่งไทยก็ใช้โดรนทิ้งระเบิดโจมตีกัมพูชาดุเดือดไม่แพ้กัน โดยหน่วยเฉพาะกิจที่ 11 กองกำลังบูรพา กองทัพภาคที่ 1 (ฉก.11 กกล.บูรพา) ปฏิบัติการทำลายเป้าหมายทางทหาร ใช้โดรนทิ้งระเบิดที่ฐานปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายกัมพูชา ฝั่งตรงข้ามบ้านคลองแผง อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว เมื่อ 9 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยเป้าหมายดังกล่าวเป็นพื้นที่จากกัมพูชาได้จัดเตรียมกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์ ในการยิงตอบโต้ทหารไทย และพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อธิปไตยของไทยที่กัมพูชาเข้ามายึดครองไว้

ในวันเดียวกันนี้ กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราด ทหารนาวิกโยธิน กองทัพเรือ ยิงปืนใหญ่ และใช้โดรนติดอาวุธทำลายกาสิโนที่บ้านทมอดา ท่าเส้น จังหวัดตราด และทำลายระบบแอนตี้โดรนของกัมพูชา ซึ่งตั้งอยู่บนดาดฟ้าบ่อนกาสิโน และพื้นที่ตรงข้ามบ้านชำราก

นอกจากนั้น เครื่องบินรบ JAS-39 Gripen ของกองทัพอากาศไทย เปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ โดยทิ้งระเบิดใส่บ่อนรอยัลฮิลล์ รีสอร์ท แอนด์ กาสิโน ตรงข้ามกาสิโนลิมเฮง ในพื้นที่โอร์เสม็ด จังหวัดอุดรมีชัย ของกัมพูชา ตรงข้ามกับช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ เนื่องจากบ่อนกาสิโนแห่งนี้กองทัพกัมพูชาใช้เป็นจุดปล่อยโดรนพลีชีพ ซุกซ่อนรถยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 และสะสมกำลังพล

แต่ที่เด็ดสุดคือ มีการใช้โดรนอย่างสุดล้ำกับการยิงปืนใหญ่ โดยใช้โดรนในการค้นหาเป้าหมาย ระบุพิกัด และปรับตำแหน่งการยิงปืนใหญ่ด้วยกระสุนจริงถล่มเทาวเวอร์เครนหน้าปราสาทพระวิหาร เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ที่ผ่านมา ถือเป็นนวัตกรรมการรบใหม่ของกองทัพไทยเลยทีเดียว

เพจกองทัพภาคที่ 2 ระบุทำลายเครนทางขึ้นเขาพระวิหารหลังตรวจพบใช้เป็นที่ติดตั้งแอนตี้โดรน และระบบกล้องวงจรปิดแบบสัญญาณเรดาร์ โดยพบว่ามีระบบ Spoofing GPS ก่อกวนนำร่องด้วยดาวเทียม (GNSS/GPS) ส่งผลให้โดรนและระบบอื่น ๆ ในพื้นที่ของไทยมีปัญหา และยังมีการใช้กล้องวงจรปิดบันทึกภาพรวมทั้งสังเกตการปฏิบัติการของกำลังฝ่ายไทยในพื้นที่รอบเขาพระวิหาร

การใช้โดรนร่วมกับระบบอาวุธอื่น ๆ ของไทย ครั้งนี้เป็นการพัฒนาขึ้นโดยกองทัพไทย ซึ่งในการสู้รบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ยกแรกเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมานั้น สื่ออังกฤษ ได้ชี้ให้เห็นศักยภาพของกองทัพไทยปรับใช้สงครามโดรนที่ล้ำกว่านาโต้มาก

คราวนั้น สื่อเทเลกราฟของอังกฤษ วิเคราะห์ถึงกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่ฝ่ายไทยได้ใช้ในสงครามชายแดนไทย – กัมพูชา ยกแรก ในหัวข้อข่าว “Thailand adopts Ukraine-style drone warfare to strike Cambodian forces - ไทยปรับใช้โดรนสงครามในแบบของยูเครน เพื่อโจมตีทัพกัมพูชา” โดยระบุว่า กองทัพไทย ล้ำหน้ากว่ากองทัพนาโต้มากในการใช้โดรนแบบ 4 ใบพัด หรือ ควอดคอปเตอร์ (quadcopter) ในสนามรบ “โดรนแบบ 4 ใบพัดลำหนึ่งลอยนิ่งอยู่เหนือหลังคาโลหะ ก่อนจะปล่อยระเบิดลงมา วินาทีต่อมา เป้าหมายก็เกิดระเบิดขึ้นเป็นควันและเปลวไฟ” โดยฝ่ายไทยครองความได้เปรียบด้านโดรนอย่างเด็ดขาด การปฏิวัติโดรนในสนามรบเป็นสัญญาณเตือนให้โลกตะวันตกต้องตื่นตัว

Gripen ทิ้งไข่ ทำลายกาสิโนที่ช่องจอม สุรินทร์ ในฝั่งโอเสม็ด ของเขมร เนื่องเพราะพบว่าฝ่ายกัมพูชาใช้เป็นฐานบัญชาการรบ ฐานปล่อยโดรน และเก็บกระสุน
เว็ปไซต์ข่าวคิริโพสต์ สื่อมวลชนเขมรภาคภาษาอังกฤษ รายงานพาดหัว A New Kind of War: F-16s, Drones, and the Collapse of Trust Between Cambodia and Thailand หลังจบศึกชายแดนไทย - กัมพูชา ยกแรก ตอนหนึ่งว่า โดรนกลายมาเป็นองค์ประกอบสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในสมรภูมิรบยุคใหม่ ไล่ตั้งแต่ยูเครน ตะวันออกกลาง ซูดาน และพม่า มาถึงไทย-กัมพูชา ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างใช้โดรนสอดแนม และไทยยังใช้โดรนโจมตีทางเดียวและโดรนโจมตีชนิดอื่น ๆ ด้วย

รายงานของคิริโพสต์ อ้างอิงความเห็นของ มาร์เซล พลิชตา อดีตนักวิเคราะห์กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และผู้เชี่ยวชาญด้านสงครามโดรน ว่าไทยลงทุนอย่างมากในด้านโดรน สืบเนื่องจากสงครามทั่วโลก และความขัดแย้งในประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าที่กลุ่มต่อต้านรัฐบาลใช้โดรนเป็นอาวุธ เขาเห็นว่ากัมพูชามีโอกาสปรับปรุงความพร้อมสำหรับสงครามโดรน ผู้นำกัมพูชาอาจต้องจัดซื้อหรือผลิตเอง รวมทั้งการลงทุนในระบบต่อต้านโดรน ซึ่งจะทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับการใช้โดรนเล่นงานกองกำลังทางภาคพื้น

สถานการณ์ศึกชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ กองทัพภาคที่ 2 ออกคำเตือนว่า โดรนพลีชีพ ถือเป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ของกัมพูชา โดยชี้ให้เห็นถึงยุทธวิธีการใช้โดรนพลีชีพ หรือ FPV UAV ของกัมพูชาและข้อแนะนำการปฏิบัติว่า พฤติกรรมของข้าศึก รูปแบบการเข้าตี (Attack Pattern) จะมีอากาศยานนำร่อง (Lead Drone) ทำหน้าที่หลอกล่อและระบุเป้าหมาย และอีกรูปแบบ คือลักษณะอากาศยานและสรรพาวุธ โดยเป็นโดรนที่มีการติดตั้งระเบิด (ค.82 มม.) และอาจจะมีการทิ้งกล่องติดสัญญาณ GPS

สำหรับภัยคุกคามที่ตรวจพบ โดรนที่มีการติดสัญญาณ GPS จะมีเป้าหมายล่อโจมตีกำลังพลที่เข้าไปเก็บกู้ โดยจะส่งพิกัดไปยัง อาวุธเล็งจำลอง เช่น BM-21 ระดมยิง หรือ FPV ระรอกถัดไปเข้าโจมตีซ้ำเติม กองทัพภาคที่ 2 มีข้อเน้นย้ำและการปฏิบัติ หากพบซากโดรนมีเสียง จะเป็น “กับดัก” ห้ามรวมกลุ่มเข้าไปมุงดูเด็ดขาด แต่หากพบว่าปลอดภัย ให้รีบทำลายหรือแยกกล่อง GPS ออกจากพื้นที่ทันที เพื่อตัดสัญญาณ และหากพบว่าโดรนมีการติดตั้ง ค.82 ติดอยู่ ห้ามเก็บกู้เอง อาจจะมีระเบิดหรือกับดักอัตโนมัติ

ที่น่าสนใจก็คือ กองทัพภาคที่ 2 รายงานยุทธวิธีโดรนของกัมพูชาที่ช่องอานม้าด้วยว่า คนบังคับน่าจะไม่ใช่ทหารกัมพูชา เนื่องจากมีสัญญาณเข้ามาวิทยุทางทหารโหมด CRL คำภาษาอังกฤษลงท้ายประโยคว่า finished …. / ประกอบกับจุดตรวจการณ์ จะตรวจพบจักรยานยนต์ขับลงไปหลังจากโดรนพลีชีพเงียบไป

“โดรนพลีชีพ” หรือ “โดรน FPV (First-Person View)” เป็นโดรนที่ถูกบังคับให้บินไปสู่เป้าหมาย แล้วระเบิดทำลายเป้าหมาย ซึ่งส่วนใหญ่พบการนำลูกระเบิดปืน ค. หรือ 82 มิลลิเมตร มาประกอบติดกับโดรน โดยมีกล้องและกล่องสัญญาณ GPS ระบุพิกัด โดรนดังกล่าวนี้ มีความเร็วสูง ลอยลำอยู่ในน่านฟ้าได้นาน ก่อนโจมตีเป้าหมาย

นายอนาลโย กอสกุล เจ้าของเพจ thaiarmedforce อธิบายว่า โดรนพลีชีพ คือโดรนที่พุ่งเข้าชนเป้าหมายและระเบิดทำลายไปพร้อมกัน ส่วนมากจะนำ “ลูก ค.” ที่ปกติใช้ยิงจากเครื่องยิงลูกระเบิด มาผูกติดกับโดรน ซึ่งโดรนของกัมพูชาที่ตรวจพบก็เป็นลักษณะนี้

ส่วนการบังคับโดรนพลีชีพ ทำได้สองวิธีคือผู้บังคับโดรนสวมแว่นมองภาพผ่านกล้องที่ติดอยู่กับโดรนและบังคับพุ่งชนเป้าหมาย อีกวิธีคือ ใช้โดรนมาสเตอร์ควบคุม และมีโดรนพลีชีพวิ่งตาม โดยโดรนมาสเตอร์จะส่งสัญญาณไปยังผู้ควบคุมเพื่อระบุเป้าหมายแล้วให้ควบคุมโดรนพลีชีพพุ่งชน ซึ่งโดรนพลีชีพควบคุมได้ไม่ไกลนักใช้ในระยะ 1-2 กิโลเมตร แต่ปฏิบัติการจริงใช้ในระยะ 500-600 เมตรเท่านั้น เน้นโจมตีเป้าหมายไม่ไกลจากหน้าแนว

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ออกประกาศฉบับที่ 12 ห้ามบังคับ หรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบินในพื้นที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ 7 จังหวัด ชายแดนไทย-กัมพูชา

โดรนทิ้งระเบิดจากมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินที่ปฏิบัติงานทำลายเป้าหมายทางทหารได้อย่างมีประสิทธิภาพในศึกไทย-กัมพูชา ยกแรก
สำหรับการป้องกันโดรนพลีชีพนั้น นายอนาลโย ชี้ว่าทำได้ยาก แม้แต่ประเทศมหาอำนาจก็ยังเจอปัญหาอยู่ เพราะโดรนเหล่านี้เป็นโดรนดัดแปลงจึงปรับปรุงหนีวิธีป้องกันใหม่ ๆ ได้เสมอ ส่วนการยิงสกัดก็ทำได้ยากเพราะบินค่อนข้างเร็วเกือบร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง และบินฉวัดเฉวียนเล็งเป้ายาก

พลเอก ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก และเลขาธิการ กอ.รมน. ได้สั่งการให้รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด ฝ่ายทหาร ทุกจังหวัด โดยเฉพ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังโดรนสอดแนม และโดรนพลีชีพ หากประชาชนพบเห็นโดรนต้องสงสัยให้แจ้งเจ้าหน้ารัฐทันที หากพบโดรนตกหล่นหรือวัตถุต้องสงสัยห้ามเก็บกู้ สัมผัส หรือเคลื่อนย้ายด้วยตัวเองเพราะมีความเสี่ยงอันตราย

ทางด้านสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ออกประกาศฉบับที่ 12 ห้ามบังคับ หรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบินในพื้นที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ 7 จังหวัด ชายแดนไทย-กัมพูชา

ไม่เพียงประเทศไทยเท่านั้น ถ้าใครติดตามสถานการณ์การสู้รบในสมรภูมิต่างๆ ทั่วโลก ก็จะพบว่า ปัจจุบัน “โดรน” เข้ามามีบทบาทในการปฏิบัติการทางทหารมากขึ้น โดยเพิ่มขีดความสามารถทางการรบชนิดที่ว่าใครมีความเหนือชั้นทางเทคโนโลยีดิจิทัลที่มากกว่าย่อมได้เปรียบกว่า เช่น สหรัฐอเมริกา ที่ใช้โดรน “MQ-9 Reaper” เพียงแค่ 1 ลำ ในการปฏิบัติการลอบสังหาร นายพลกาเซ็ม โซไลมานี อดีตผู้บัญชาการกองกำลังคุดส์ผู้ทรงอิทธิพลของอิหร่าน เมื่อเดือนมกราคม 2563 โดยไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทหารเข้าปฏิบัติการโดยตรงต่อเป้าหมาย อันอาจจะก่อให้เกิดความเสี่ยงในการสูญเสียด้านกำลังพลเหมือนเช่นในอดีต

หรือสงความช่วงชิงดินแดนระหว่าง อาร์เมเนีย กับ อาเซอร์ไบจาน เมื่อเดือนตุลาคม 2563 อาเซอร์ไบจาน ส่งฝูงบินโดรน “Bayraktar TB2” ขึ้นจากฐานบินภายในประเทศเข้าโจมตีกองกำลังอาร์เมเนียในพื้นที่พิพาทนาร์กอโน-คาราบักห์ ส่งผลให้ระบบป้องกันภัยทางอากาศ และยุทโธปกรณ์หลักทางทหารของอาร์เมเนียถูกทำลายเป็นมากกว่า 660 เป้าหมาย คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ รวมทั้ง สูญเสียกำลังทหารและพลเรือนหลายชีวิต ส่งผลให้สงครามระหว่างสองประเทศที่ยืดเยื้อกันมาหลายทศวรรษยุติลง โดยมี อาเซอร์ไบจาน เป็นผู้ชนะสงคราม

กว่าจะจบศึกชายแดนไทย-กัมพูชา ยกสอง คงได้เห็น “สงครามโดรน” ที่ดุเดือดเลือดพล่านตลอดแนวรบ


กำลังโหลดความคิดเห็น